นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (8 ก.ย.) ที่ระดับ 36.52 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 36.70 บาทต่อดอลลาร์ โดยมองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.40-36.70 บาทต่อดอลลาร์
ทั้งนี้ผู้เล่นในตลาดยังคงกังวลแนวโน้มการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจสหรัฐ หลังรายงานสภาวะเศรษฐกิจสหรัฐ หรือ Fed Beige Book ได้ระบุว่า การเติบโตของเศรษฐกิจในอนาคตในอีก 6-12 เดือนข้างหน้ามีแนวโน้มแย่ลง ตามการปรับตัวลดลงด้านอุปสงค์หรือความต้องการใช้จ่าย ท่ามกลางราคาอาหารและค่าเช่าที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง จนทำให้ผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น
นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดยังคงกังวลว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจชะลอตัวมากขึ้น หากเฟดเดินหน้าเร่งขึ้นดอกเบี้ย เพื่อควบคุมปัญหาเงินเฟ้อตามความเห็นของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดในสัปดาห์นี้คำพูดจาก ฟรี เกมสล็อตทดลองเล่น
ด้านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจจีนล่าสุด อย่างยอดการค้าที่แย่กว่าคาด และปัญหาการระบาดของ COVID-19 ในจีน ได้เพิ่มความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจโลกชะลอตัวหนัก และส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดเลือกที่จะเทขายหุ้นกลุ่มโภคภัณฑ์ อาทิ กลุ่มเหมืองแร่ (Glencore -3.8%) และกลุ่มพลังงาน (Equinor -5.7%) ตามการปรับตัวลดลงต่อเนื่องของราคาน้ำมันดิบ
ขณะที่ตลาดหุ้นยุโรปยังคงเผชิญแรงกดดันจากความกังวลวิกฤตพลังงานที่อาจยิ่งกดดันแนวโน้มเศรษฐกิจยุโรป ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยง ทำให้ดัชนี STOXX600 ของยุโรป กลับมาปรับตัวลดลง -0.57%
ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ได้ปรับตัวลดลงกลับสู่ระดับ 109.7 จุด ตามการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังถูกกดดันจากการกลับมาแข็งค่าขึ้นของเงินยูโร (EUR) ท่ามกลางมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่คาดว่า ธนาคารกลางยุโรป (ECB) อาจเดินหน้าเร่งขึ้นดอกเบี้ย +0.75% ในการประชุมวันพฤหัสฯ นี้
การปรับตัวลดลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐได้ช่วยหนุนให้ ราคาทองคำรีบาวด์ขึ้น สู่ระดับ 1,727 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งอาจเป็นระดับที่ผู้เล่นบางส่วนอาจทยอยขายทำกำไรการรีบาวด์ของราคาทองคำ โดยโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวอาจช่วยหนุนการแข็งค่าของเงินบาทได้บ้าง
สำหรับวันนี้ ไฮไลต์สำคัญจะอยู่ที่ผลการประชุมของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ซึ่งตลาดคาดว่า อัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นและอยู่ในระดับสูงจะหนุนให้ ECB ตัดสินใจเร่งขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย (Deposit Facility Rate) +0.75% สู่ระดับ 0.75% ทั้งนี้ ตลาดจะรอจับตาการปรับคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อใหม่ของ ECB ท่ามกลางความกังวลว่า เศรษฐกิจยุโรปอาจชะลอตัวลงหนักและเข้าสู่ภาวะถดถอยได้ หากเผชิญกับวิกฤติพลังงานในช่วงฤดูหนาว
นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของประธานเฟด โดยเฉพาะมุมมองต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อสหรัฐ เพื่อประเมินแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งล่าสุด ข้อมูลจาก CME FedWatch Tool ชี้ว่า ตลาดมองเฟดมีโอกาส 76% ที่จะเร่งขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ในเดือนกันยายน
ขณะที่แนวโน้มค่าเงินบาท ในระยะสั้นนี้ ยังคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังคงเคลื่อนไหวผันผวนสูง โดยเฉพาะในช่วงตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุมของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ซึ่งจะมาในช่วงที่ใกล้กับการแถลงของประธานเฟด อย่างไรก็ดี มองว่า ตลาดได้รับรู้แนวโน้มการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟดไปมากแล้ว ทำให้เหลือเพียงปัจจัยแนวโน้มนโยบายการเงินของ ECB ที่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดได้ โดยหาก ECB ไม่ได้เร่งขึ้นดอกเบี้ยตามที่ตลาดคาด และแสดงความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจมากขึ้น ก็อาจกดดันให้เงินยูโร (EUR) อ่อนค่าลง และหนุนให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นได้คำพูดจาก ทดลองสล็อต pg
ในกรณีที่เงินบาทอ่อนค่าลงตามการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ประเมินว่า เงินบาทอาจอ่อนค่าไปทดสอบโซนแนวต้านแถว 36.80 บาทต่อดอลลาร์ได้ ขณะที่โซนแนวรับที่ผู้นำเข้าอาจรอทยอยเข้ามาซื้อเงินดอลลาร์อยู่นั้น จะอยู่ในช่วง 36.30-36.40 บาทต่อดอลลาร์.